วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554

ข้าวยาก หมาก(น้ำมัน)แพง หาเงินเพิ่มอย่างไรดี

โดย ชมัยพร วิเศษมงคล ที่ปรึกษาSMEs สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.)

ในระยะนี้ ข่าวคราวที่กระทบต่อความเป็นอยู่ของคนไทยเป็นอย่างมาก คงหนีไม่พ้นเรื่องของ “น้ำมันแพง” และ “ราคาสินค้าสูงขึ้น” จนทำให้คนไทยบางส่วนที่มีปัญหารายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย หันมาคิดถึงการหารายได้พิเศษเล็ก น้อย ๆ เพิ่มขึ้น หรือบางคนที่ทำธุรกิจอยู่แล้ว แต่ไม่ประสบความสำเร็จ และคิดที่จะลุกขึ้นสู้ใหม่ในยุคที่ต้องดิ้นรน แต่ขาดความแน่นอนในทุกด้านเช่นนี้ การหันมาเอาดีทางธุรกิจเล็กๆ เงินลงทุนไม่สูงน่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ผู้เขียนอยากจะหยิบยกขึ้นมาพูด โดยเฉพาะรูปแบบธุรกิจที่อาจไม่ต้องใช้ทุนมากนัก มีหน่วยงานของภาครัฐที่คอยให้การสนับสนุน ให้ความรู้ที่ชัดเจน รูปแบบธุรกิจที่ว่าคือ ธุรกิจแฟรนไชส์ (Franchise) และธุรกิจพาณิชย์อิเล็คทรอนิกส์ (E-commerce) นั่นเอง

ในฉบับนี้ผู้เขียนขอพูดถึงธุรกิจแฟรนไชส์ก่อน ส่วน E-commerce จะขอยกไปไว้ในฉบับต่อไป
ธุรกิจแฟรนไชส์เป็นวิธีการหนึ่งในการขยายตลาดในแง่มุมของเจ้าของธุรกิจ แต่เป็นวิธีการเริ่มต้นธุรกิจที่ง่ายสำหรับผู้ประกอบการใหม่
หลายคนคงจะรู้จักธุรกิจแฟรนไชส์มาบ้างแล้ว ผู้เขียนขอทบทวนความรู้อีกนิดว่า ธุรกิจแฟรนไชส์ เป็นเรื่องของการให้สิทธิเครื่องหมายการค้า รวมทั้งความเชี่ยวชาญ ความรู้ ซึ่งอาจเป็นวิธีการในการทำธุรกิจที่จะถ่ายทอดให้ผู้ซื้อสิทธินั้นๆ ที่เรียกว่า “แฟรนไชส์ซี (Franchisee)” จากเจ้าของสิทธิที่เรียกว่า “แฟรนไชส์ซอว์ (Franchisor)”  โดยผู้ซื้อสิทธิต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับเจ้าของสิทธินั้นๆ ในลักษณะที่เป็นค่าธรรมเนียมแรกเข้า (Entrance Fee) และยังมีเงินรายงวด หรือค่าธรรมเนียมการจัดการ (Royalty Fee) รวมทั้ง อาจมีค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อสินค้าและบริการจากเจ้าของสิทธิอีกด้วย
ระบบแฟรนไชส์มีมานานแล้วในประเทศไทย และเป็นที่นิยมมากขึ้น
จากบทความของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุไว้ว่า ธุรกิจระบบแฟรนไชส์เข้ามาในประเทศไทยนานแล้ว ประเภทของกิจการในยุคแรกๆ ส่วนใหญ่จะเป็นกิจการจากต่างประเทศ อาทิ โรงแรม และธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิง ต่อมา ในปี พ.ศ. 2520 ธุรกิจระบบแฟรนไชส์ประเภทอาหารฟาสต์ฟู้ดได้เริ่มเข้ามาเปิดดำเนินกิจการในประเทศไทยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น A&W / McDonald’s / Mister Donut และ Kentucky ในปี พ.ศ.2527 โดยได้รับความนิยมจากผู้บริโภคคนไทย และมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
นอกจากมีแฟรนไชส์ที่มาจากต่างประเทศแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจของคนไทยส่วนหนึ่งก็ได้พัฒนาธุรกิจของตนเองให้เป็นธุรกิจในระบบแฟรนไชส์ด้วยเช่นกัน เช่น นู้ดเดิ้น การ์เด้นท์ /  แบล็ค แคนยอน / 13 เหรียญ / Pena House / กลุ่มธุรกิจโรงแรมเครือ Central เป็นต้น
ธุรกิจแฟรนไชส์มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ผู้สนใจควรรู้
การทำธุรกิจเป็นเรื่องของความเสี่ยง ธุรกิจแฟรนไชส์ก็เช่นเดียวกัน ผู้ที่มาซื้อสิทธิจำเป็นต้องเผื่อใจไว้รองรับกับความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น มารู้กันเสียหน่อยเป็นไรว่า รูปแบบธุรกิจแบบนี้มีข้อดี และข้อเสียอย่างไร เพื่อช่วยในการตัดสินใจ
ข้อดี
O อย่างแรกเลยคือ ย่นระยะเวลาการเรียนรู้ เพราะเจ้าของสิทธิ (แฟรนไชส์ซอร์) เขาลงทุนลงแรงกับการปลุกปั้น คิดค้นรูปแบบ วิธีการ และขั้นตอนการทำธุรกิจ รวมทั้งประสบการณ์ให้ธุรกิจประสบความสำเร็จมาแล้ว แฟรนไชส์ซีแค่ตั้งใจรวบรวมความเชี่ยวชาญและความรู้นั้นๆ มาใช้ในการทำธุรกิจของตนให้มากที่สุดเท่านั้นเอง
O ที่สำคัญต่อมาคือ เครื่องหมายการค้าได้รับการยอมรับ และเป็นที่รู้จักของผู้บริโภคมาในระดับหนึ่ง เท่ากับว่าผู้ซื้อสิทธิไม่ต้องเริ่มต้นที่ศูนย์ในการสร้างชื่อเสียงของสินค้า เพียงแต่ดำเนินการตามข้อกำหนดที่ได้รับเท่านั้น


Oข้อได้เปรียบจากการประหยัดของขนาดในการซื้อทีละมากๆ (Economy of Scale) เพราะเจ้าของสิทธิเขาจะรวบรวมความต้องการของแฟรนไชส์ซีทั้งหมดและบริหารการจัดซื้อเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง ทำให้ได้สินค้าในราคาถูกลง ซึ่งการประหยัดนี้จะรวมไปถึงเรื่องของการโฆษณา และสนับสนุนการขายด้วยเช่นกัน
Oทำให้ได้รับความรู้ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นกระบวนการ ขั้นตอนที่เจ้าของสิทธิมักจะดำเนินการเพื่อช่วยส่งเสริมให้แฟรนไชส์ซีมีการประกอบการที่ดีขึ้น หรือเมื่อเกิดการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงธุรกิจให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น
Oการได้รับความช่วยเหลือในเรื่องบริหารจัดการจากเจ้าของสิทธิ เช่น การรับสมัครพนักงาน ทำบัญชี การหาทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม เป็นต้น

ข้อเสีย
Oการสูญเสียอิสระภาพในการดำเนินธุรกิจ เพราะต้องดำเนินงานตามรูปแบบ วิธีการ และขั้นตอนที่กำหนดไว้โดยเจ้าของสิทธิ ซึ่งถ้าหากระบบต่างๆ ของแฟรนไชส์ไม่ดีพอหรือยากต่อการปฎิบัติ อาจทำให้ไม่สามารถตัดสินใจในการที่จะปรับเปลี่ยน และปรับปรุงให้ดีขึ้นได้

O ไม่มีหลักประกันความสำเร็จ ถึงแม้การเข้ามาในธุรกิจนี้จะมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างต่ำ ถ้ามีการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว แต่ธุรกิจก็คือธุรกิจ มีความเสี่ยงเกิดขึ้นเสมอ ซึ่งความเสี่ยงดังกล่าวอาจมาได้ทั้งจากธุรกิจแฟรนไชส์ที่มีระบบยังไม่ดีพอ หรือมาจากแฟรนไชส์ซีเองที่มีความสามารถไม่ตรงกับประเภทธุรกิจ หรือไม่มากพอ
Oค่าใช้จ่ายสูง  ถึงแม้ข้อดีประการหนึ่งของการทำธุรกิจแฟรนไชส์คือ เกิดการประหยัดของขนาดในการซื้อของก็ตาม แต่แฟรนไชส์ซีต้องเสียค่าใช้จ่ายแรกเข้าเพื่อให้ได้สิทธิ และยังมีค่าใช้จ่ายการตกแต่งร้าน อุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ ที่เป็นจำนวนเงินลงทุนสูงเช่นกัน

 ก่อนจะตัดสินใจลงทุนซื้อสิทธิแฟรนไชส์......คิดให้รอบคอบเสียก่อน
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับการวิเคราะห์การลงทุนในระบบแฟรนไชส์ว่าที่สำคัญควรจะต้องมีข้อมูลที่จะตรวจสอบแฟรนไชส์ซอร์ให้ชัดเจนในทุกๆ ด้านก่อน ไม่ว่าจะเป็น
ข้อแรก ต้องมีการตรวจสอบเบื้องหน้าเบื้องหลังของเจ้าของกิจการให้ดีเสียก่อนเพื่อรับประกันว่าเขามีพันธะต่อธุรกิจที่ดำเนินงานอยู่อย่างจริงจัง รวมทั้งความน่าเชื่อถือ และมีความรับผิดชอบต่อธุรกิจที่เขาเป็นเจ้าของ
ข้อที่สอง   ศึกษาโครงสร้างองค์กรการบริหารงานและความรับผิดชอบของแต่ละส่วนงานภายในแฟรนไชซอร์ เพื่อดูถึงความเป็นไปได้ของการอยู่รอดองค์กรในอนาคต ซึ่งวิธีการนี้มักจะใช้กับธุรกิจที่มีการลงทุนสูง และยังมีชื่อเสียงไม่มากพอ ซึ่งจะรวมไปถึงการหาโอกาสที่จะเข้าเยี่ยมชมกิจการของบริษัท เพื่อตรวจสอบการจัดการภายใน การจัดการพนักงาน และระบบสนับสนุนต่างๆ



ข้อที่สาม สอบถามจากผู้ที่เป็นแฟรนไชส์ซีทั้งในอดีตและปัจจุบันเพื่อให้ได้ข้อมูลของอำนาจในการต่อรอง ความสำเร็จและความล้มเหลว จุดดีและจุดด้อยของการเป็นแฟรนไชส์ซีในธุรกิจนั้นๆ รวมไปถึงความสามารถในการทำกำไร และจุดคุ้มทุนที่จะเกิดขึ้นภายใต้ข้อจำกัดและเงื่อนไขต่างๆ
ข้อที่สี่  เป็นเรื่องของการประเมินสถานะการเงินและงบดุลของแฟรนไชส์เซอร์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เพื่อตรวจสอบถึงความยั่งยืนของธุรกิจในอนาคต
ที่สำคัญที่สุดที่ผู้เขียนอยากจะแนะนำเพิ่มเติมคือ “การปรึกษากับผู้รู้” ที่จะช่วยให้การตัดสินใจมีความรอบคอบและมีข้อมูลที่ครบถ้วน “ผู้รู้” ที่ว่านี้ก็คือ หน่วยงานของภาครัฐที่ทำหน้าที่ดูแล และให้ข้อแนะนำทางธุรกิจเกี่ยวกับแฟรนไชส์

หน่วยงานแรกคือ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์  ที่มีนโยบายการส่งเสริมพัฒนาธุรกิจประเภทนี้ในรูปของการผลักดันให้ธุรกิจไทยเข้าสู่ระบบแฟรนไชส์ที่เป็นมาตรฐานและยอมรับในระดับสากล เพื่อสามารถขยายธุรกิจไปสู่ตลาดต่างประเทศได้ รวมทั้งพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการระบบสาขาแก่ผู้ประกอบการ ทั้งที่เป็นผู้ขายสิทธิ และผู้ซื้อสิทธิ



หน่วยงานที่สองคือ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า สสว. เป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่หลักในการเสนอแนะนโยบายการส่งเสริม SMEs รวมทั้งมีบริการต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินธุรกิจให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่สำคัญคือ บริการให้คำปรึกษาทางธุรกิจ ซึ่งจะมี “ผู้รู้” ที่จะให้บริการปรึกษาด้านแฟรนไชส์โดยเฉพาะ



ท่านที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ www.sme.go.th หรือโทรไปที่ Call Center 0-2686-9111 ซึ่งจะมีหน่วยบริการทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค (ศูนย์บริการร่วมลงทุนและพี่เลี้ยง SMEs ประจำภูมิภาค) 19 แห่งทั่วประเทศ.........เชิญได้เลยนะคะ!!!!




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น